massage from god

massage from god
ไม่มีกลางคืน สำหรับผู้ที่มีพระอาทิตย์อยู่ในใจ

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

คริสต์: นิยามแห่งรัก


เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความเชื่อตามคำสอนแต่โบราณที่ว่า
"ที่ใดที่มีรัก ที่นั่นมีทุกข์" นั้น
มันเป็นแค่ความจริงในระดับโลกียะเท่านั้น

ความจริงในระดับโลกียะธรรม
เป็นความจริงที่ท่านสามารถ
ใช้กลไกจิตหยาบกับสมองซีกซ้าย
คิดทำความเข้าใจกันนั่นเอง
มันจึงถูกต้องเพียงแค่ระดับต้นเท่านั้น

ถ้าท่านจะเข้าใจนัยที่แท้จริงของความรัก
ที่ลึกซึ้งแยบยลยิ่งกว่าและถูกต้องกว่าแล้ว
ท่านยังมีปัญญาญาณของสมองซีกขวา
รอท่าให้ท่านใช้เพื่อการคิดเข้าใจ
ในเรื่องของความรักในมิติที่สูงยิ่งกว่าอยู่อีกด้วย

หากจะสาธยายให้เข้าใจ
ถึงนัยความหมายของ "ความรัก"
จากความต่างของสมองสองซีกแล้วล่ะก็
พอจะกล่าวให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า

ความรักตามแนวคิดของสมองซีกซ้าย
หมายถึง "การรักเพื่อเอา" ....

รักเพื่อเอาเป็นความรักที่ต้องการสิ่งตอบแทน
หมายถึง ความรักที่ต้องการ "รักตอบ"จากผู้ที่ถูกรัก
หากรักเขาข้างเดียวผู้รักก็จะเกิดทุกข์
นี่เป็นรักที่ได้จากสมองซีกซ้ายนำขวา
เป็นความรักในระดับโลกียะนั่นเอง

ส่วนนัยความหมายของความรัก
ตามแนวคิดของสมองซีกขวา
อันเป็นสติปัญญาของจิตวิญญาณของมนุษย์
หมายถึง "การรักเพื่อให้" ....

รักเพื่อ "ให้" หมายถึง Love to Love
นั่นคือ รักเพื่อรัก โดยแท้

รักเพื่อรัก.............
เป็นรักเพื่อให้.............
เป็นรักที่มิได้ประสงค์ประโยชน์ใดตอบแทน
เป็นรักที่มิต้องมีสิ่งใดเป็นเงื่อนไขให้รัก
เป็นรักที่ผู้รักมีความสุขความพึงใจที่ตนได้รัก
เป็นรักที่ผู้รักมีความสุขเมื่อได้รู้เห็นว่าผู้ที่ตนรักเป็นสุข

ดังนั้น...หากท่านมีคนรัก
ท่านก็ควรจะต้องรู้ว่า......
ตัวแทนแห่งความรักน่ะ
คือ ความร้อนและแสงสว่าง

สำหรับ "ความร้อน" นั้นในที่นี้
เราหมายถึง "ความอบอุ่น"
ซึ่งทั้งสองฝ่ายจักต้องร่วมกันสร้างมันขึ้นมา
ผ่านความรู้สึกอบอุ่นใจ
อันได้จากความไว้วางใจในกันและกัน
กับความอบอุ่นกาย
อันได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกัน

สำหรับ "แสงสว่าง" นั้นในที่นี้
เราหมายถึง แสงสว่างแห่ง "ความหวัง"
อันเป็นความหวังใหม่ใดๆที่ทั้งสองฝ่าย
จักต้องสร้างสรรค์มันขึ้นมาด้วยกัน

สำหรับ "แสงสว่าง" นั้นในที่นี้
เรายังหมายถึง แสงสว่างทาง "ปัญญา"
ที่คู่รักทั้งหลายจักต้องเข้าถึงมันให้ได้
แล้วหยิบมันขึ้นมาใช้ให้เป็
เพื่อการสร้างตนเองและสร้างชีวิตร่วมกัน

ส่วนแสงสว่างทางปัญญาในคนทั่วไปนั้น
หมายถึงการใช้ความฉลาดด้านการคิดทั้งหลาย
กล่าวคือ.....

คิดเพื่อที่จะยอมรับความแตกต่าง
คิดเพื่อที่จะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
คิดเพื่อที่จะเข้าถึงการให้อภัย
คิดเพื่อที่จะให้ความร่วมมือต่อกัน
คิดเพื่อที่จะปรับตัวเองนั้นเข้าหาผู้อื่น
.....เหล่านี้ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข
ที่มีรักแล้วมึทุกข์ ก็เป็นเพราะรักไม่เป็น

เมื่อรักไม่เป็น
ท่านจึงยังต้องอกหักช้ำรักกันอยู่
เรียนรู้ความจริงดั่งนี้แล้
ความรักของท่าน
มันจักเสริมแรงให้ท่าน "จิตใส ใจสวย"
กันได้ง่ายขึ้น....

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
22-03-2015


วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

Light workers ผู้ทำงานแห่งแสงสว่าง


 กาล
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว......มีเพื่อนกลุ่มนึงที่สนิทกันมากอาศัยอยู่ในดินแดน
ที่ไกลแสนไกลก่อนที่มนุษย์บนโลกจะมีภาษาและให้คำนิยามกับสถานที่ที่พวกเขา
อยู่ว่า “จักรวาล” พวกเขามักจะท่องเที่ยวผจญภัยไปด้วยกันเสมอในแต่ละดวงดาว
หรือ มิติต่างๆไม่ว่าจะเป็นที่ๆมีแต่แสงสว่างหรือมืดมิดน่ากลัว
ไปจนถึงดินแดนที่เต็มไปด้วยความฝันและสีสันสวยงาม
แต่เนื่องจากว่าความที่พวกเขาอยู่มานานในสภาวะจิตวิญญาณที่ไม่มีความตายเป็น
จุดจบ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในมิติที่พวกเขาอยู่
ไม่มีกาลเวลาเป็นตัวกำหนดวงจรชีวิต หรือ พระผู้เป็นเจ้า และ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆช่วยพวกเขาวางแผนโชคชะตาชีวิต สำหรับพวกเขาแล้ว
ทั้งดีและชั่ว คือ สิ่งเดียวกัน
พวกเขารู้แค่ว่ามีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นผู้เลือกเส้นทางชีวิตให้กับตนเอง
ได้เพียงผู้เดียว





 อยู่มาวันนึงพวกเขาได้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในการผจญภัยครั้งใหม่
ด้วยการแยกจากกันไปสู่ดินแดนที่มีขอบเขตกฎข้อบังคับ มีกายภาพ หรือ
ร่างกายที่ไม่สามารถทำทุกอย่างได้
มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ทั้งทางโลกและจิตวิญญาณในหลายศาสตร์ และ
มีเวลาเป็นตัวกำหนดโชคชะตาในแต่ล่ะวัน
แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินทางในแต่ละครั้งพวกเขาจะเตรียมกำหนดการทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึกและ
เหตุการณ์ต่างๆบอกใบ้เส้นทางเพื่อที่พวกเขาจะได้กลับไปสู่สถานที่ที่พวกเขา
ได้จากมาอย่างถูกต้องและในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
วันที่เราได้กลับมาเจอกันตามกำหนดการที่คุณเป็นผู้วางแผนเอาไว้ก่อนที่จิต
วิญญาณของคุณจะเดินทางมาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ในสภาวะตัวคุณ ณ ปัจจุบัน
ใช่ค่ะ เราเคยรู้จักกันมาก่อน
วันนี้เป็นวันที่พิเศษกว่าทุกๆวันและมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คุณอยู่ที่
นี้เวลานี้ และที่สำคัญคุณไม่ได้เป็นผู้เลือกที่จะเปิดอ่านข้อความนี้
ข้อความนี้ต่างหากที่เป็นผู้เลือกคุณให้ได้อ่าน
เพราะมันถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ตัวคุณนั้นจะได้รู้จักกับตัวตน
ที่แท้จริงของตนเองว่าคุณ คือ ใคร ? คุณเกิดมาบนโลกใบนี้ทำไม?
เพื่อจุดประสงค์อะไร? และคุณจะต้องทำอะไรต่อไป ?




    ขอให้คุณรู้ไว้ว่าในอีกไม่ช้าความสงสัยต่างๆที่คุณเคยมี
ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันกำลังจะถูกเฉลยแต่ถ้าคุณยังไม่พร้อมและยังอยากที่
จะมีชีวิตเหมือนเดิมโดยใช้ชีวิตแบบท้าทาย เสี่ยงอันตราย
ไม่อยากที่จะโกงโชคชะตาและปรารถนาที่จะเรียนรู้ชีวิตมนุษย์ด้วยตัวเองแล้วละก็ ขอให้คุณหยุดอ่านเเล้วปิดหน้านี้ลง
จงอย่าได้อ่านต่อไปเพราะถ้าคุณได้อ่านจนจบ
วิถีการคิดของคุณในปัจจุบันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงและคุณจะไม่
สามารถเป็นคุณคนเดิมและกลับไปมองโลกเหมือนอย่างที่ผ่านมาได้อีกต่อไป
เพราะสิ่งต่างๆที่คุณเคยคิดเคยมองเห็นจะถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่แอบ
ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณมาเป็นเวลาแสนนานและก็นานเกินกว่าที่คุณจะจำมันได้
มันถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณซึ่งเป็นจิต
วิญญาณภายในที่รู้ทุกอย่างตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคต
ถ้าหากว่าคุณพึงพอใจตนเองในสภาวะปัจจุบันทั้งวิถีชีวิตและวิถีจิตในการดำรง
ชีวิตประจำวัน
ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเองคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องข้อความนี้
เช่นเดียวกัน เพราะ คุณ คือ
หนึ่งในผู้ทำงานแห่งแสงสว่างโดยธรรมชาติแล้วนั้นเอง

        ......... ผู้ทำงานแห่งแสงสว่าง......

   ถ้าคุณ คือ คนนึงที่สนใจเรื่องลี้ลับ พลังจิต
พลังชีวิตในห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น เรื่องราวแห่งเวทย์มนตรา
คาถาและการข้ามภพข้ามชาติ
ไปถึงมิติต่างๆที่อยู่นอกเหนือความคิดมนุษย์อย่างพวกเราอยู่กันในทุกวันนี้
จะสามารถหยั่งรู้ได้ละก็คุณก็คงจะเคยได้ยินคำว่า Lightworker หรือ
ผู้ทำงานแห่งแสงสว่าง มาก่อนไม่มากก็น้อย
แต่ถ้าคุณไม่เคยรู้จักคำนี้มาก่อนให้ลองตั้งจิตอธิษฐานถามตัวเองว่า
“Lightworker เกี่ยวอะไรกับคุณ”
   ถ้าหากแปลตรงตัว Light แปลว่า แสงสว่าง ส่วน Worker แปลว่า คนงาน
เมื่อรวมสองคำรวมกันจะอ่านได้ว่า Lightworker ผู้ทำงานแห่งแสงสว่าง
ตามความเชื่อของชาวตะวันตกในตำราต่างๆ
ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลกลุ่มนี้ออกมาในแนวมนุษย์พิเศษเกิดมามี
พรสวรรค์ต่างๆมากมาย  ไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน นักร้อง นักประพันธ์ นักดนตรี
ผู้สอนศาสนา นักพลังจิตฯลฯ
ผลงานของพวกเขาสร้างขึ้นเพื่อที่จะช่วยยกระดับจิตวิญญาณของมนุษยชาติให้เข้า
ใจตัวเองและบางคนก็ได้กลายไปเป็นผู้บรรลุสัจธรรมแห่งชีวิต
เพื่อกลับไปเติมเต็มหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ในฐานะคุรุ  หรือ
ผู้ที่มีหน้าที่สอนผู้คนที่ยังหลงในโลกแห่งวัตถุนิยม  หน้าที่ของพวกเขา คือ
ช่วยผู้ที่กำลังหลงทางกลับมายอมรับตัวเองในแบบที่เขาเป็น
จนสุดท้ายสามารถพาจิตวิญญาณเหล่านั้นกลับมาค้นพบเส้นทางที่เป็นของเขาอย่าง
แท้จริงในที่สุด



   Light หรือ แสงสว่าง มีความหมายมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น
แสงสว่างจากพระอาทิตย์ หรือ แสงสว่างจากพระจันทร์ ในความเชื่อของชาวยุโรป
เชื่อว่าทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ คือ พระเจ้า  พระอาทิตย์ คือ
พระเจ้าเพศชายดูแลโลกในยามกลางวัน และ พระจันทร์ คือ
พระเจ้าเพศหญิงผู้ซึ่งทำดูแลโลกในเวลากลางคืน  เพราะฉะนั้น แสงสว่าง
จึงเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายของสิ่งมี
ชีวิต  หรือที่เรารู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า ออร่า (Aura)
จะเห็นได้จากภาพวาดตามผนังโบสถ์  หรือ คัมภีร์ศาสนาต่างๆ พระเยซูคริสต์ และ
เหล่าเทพฮินดูที่มีแสงสว่างรอบพระเศียร หรือ
แสงจากพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า นั้น คือ ตัวอย่างของ Lightworker
ที่มนุษย์รู้จักกันเป็นอย่างดี
มนุษย์จะมีออร่าในการบ่งบอกสัญลักษณ์เเห่งชีวิตของเเต่ละคน  สีสันเเต่ละสี
หมายถึงจิตใจภายใน เเต่สีที่เป็นตัวเเทนของความดี คือ ทุกสีรวมกัน หรือ
พระฉัพพรณรังสี ถ้าจิตใจเราเป็นเช่นใด เเสงในตัวเรานั้นก็จะเป็นเช่นนั้น

   Lightworker     คือ
มนุษย์พิเศษกลุ่มนึงที่แตกต่างจากมนุษย์ที่อยู่ในสังคมปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นวิถีการใช้ชีวิตและวิถีการคิดเกี่ยวกับสังคมโลก เพราะ
พวกเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ต่างๆมากมาย
เชื่อสัญชาตญาณและศรัทธาที่มีต่อตนเองมากกว่าที่จะเชื่อฟังและทำตามคำสอนตาม
ตำราของใคร
คำบอกเล่าสืบต่อกันมาจากผู้อื่นเป็นเพียงความงมงายที่พวกเขาปฏิเสธที่จะทำ
ตาม ขุมทรัพย์แห่งปัญญาและความรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาต้องรับทราบของ
Lightworker นั้น
พวกเขาได้มาจากจินตนาการและเสียงภายในจากหัวใจตนเองแต่เพียงผู้เดียว หรือ
จะเรียกว่า ลางสังหรณ์ สัมผัสที่หก ญาณทิพย์ ก็ว่าได้
เสียงดังกล่าวสามารถมาได้ในหลายรูปแบบ อาจจะผ่านทางหูเหมือนคนพูดใกล้ๆ หรือ

พวกเขาอาจจะรู้สึกเหมือนกับหุ่นเชิดและไม่สามารถบังคับร่างกายได้เหมือนมี
บางสิ่งบางอย่างควบคุมให้ต้องทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน
รวมไปถึงการได้อ่านข้อความ หรือ สัญลักษณ์ต่างๆรอบๆตัว
ที่มีลักษณะเหมือนกับการชี้นำ บอกเล่า หรือ ออกคำสั่งให้ทำตาม (God Sign)
จะเรียกว่า โชคชะตา หรือ พรหมลิขิตกำหนดให้เราต้องรับรู้ และ
ทำตามข้อมูลต่างๆเหล่านั้นลงไปด้วยความบังเอิญก็อาจจะเป็นได้ แต่ใคร คือ
ผู้กำหนดโชคชะตาเหล่านั้นให้กับเรา? พระเจ้า หรือ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลจักรวาล
ตามที่พวกเราเคยเรียนรู้กันมาในอดีตอย่างนั้นใช่ไหม?

โดย
เฉพาะในประเทศไทย ถือว่ามี Lightworker อยู่จำนวนมาก เพราะ
ผู้คนมีความศรัทธาต่อศาสนาจำนวนนับไม่ถ้วน
และแต่ละศาสนาได้เปิดการเรียนการสอนและหาทางหลุดพ้นให้กับจิตวิญญาณสำหรับ
ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไปถึงการชี้แนะชีวิตหลังความตาย 
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู หรือ ลัทธิต่างๆ
ที่สอนเกี่ยวกับ พลังจิต พลังจักรวาล เปิดจักระ การฝึกกำลังภายใน ชี่กง
รวมไปถึง โยคะ
ล้วนแล้วเป็นศาสตร์ที่สามารถช่วยทำให้มนุษย์สามารถสื่อสารกับโลกแห่งจิต
วิญญาณภายในได้อย่างง่ายดายอัตโนมัติโดยหลายๆคนไม่รู้ตัว
ว่าตัวเองได้สื่อสารกับโลกแห่งวิญญาณแล้ว เช่น
ผ่านทางความฝันในเวลาที่นอนหลับ 

   แท้จริงแล้วการจูนเข้ากับมิติอื่นเป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
โดยเฉพาะเด็กๆที่สื่อสารกับโลกแห่งวิญญาณ เพราะ จิตที่ไร้เดียงสา
จิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่มีความคิด หรือ
ความรู้ที่สร้างเกราะป้องกันความรู้เหนือธรรมชาติอยู่ในสมอง
ซึ่งแตกต่างจากผู้ใหญ่ที่มีความรู้มากจึงทำให้เป็นปัญหาในการสื่อสาร
เหมือนกับมีกำแพงปิดกั้นเพราะ คำว่า อคตินั้นเอง
ถ้าเราอยากรู้เรื่องจิตวิญญาณ
เราต้องใช้จินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นเหมือนการโทรศัพท์เข้าไปหาคนที่เราต้อง
การคุยด้วย
ถ้าอีกฝ่ายคิดมากก็เหมือนกับโทรศัพท์ที่สายไม่ว่างโทรไปเท่าไรก็ไม่มีวันที่
จะได้รับสัญญาณ
 เราจำเป็นที่จะต้องล้างให้สมองเราสะอาดที่สุดก่อนที่จะเริ่มต้นในการเปิด
รับข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มิติแห่งจิตวิญญาณ ยูเอฟโอ มนุษย์ต่างดาว
จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลผู้นั้นทำสมาธิที่สามารถเข้าถึงสภาวะที่จิตใจสงบนิ่ง
มากพอ บุคคลผู้ที่ไร้ซึ่งอคติ หรือ กรอบความคิดที่ปิดกั้นตามศรัทธาดั่งเดิม
การสื่อสารที่ผ่านเข้ามาจะทำให้พวกเขาได้เห็น ได้ยิน และได้รับรู้
สิ่งต่างๆมากมาย แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะ
มนุษย์น้อยคนที่จะสามารถแยกความคิด และ จินตนาการออกจากกัน

   ในขณะที่ความคิด คือ
สิ่งที่เกิดจากการที่มนุษย์นำสิ่งที่จดจำและเรียนรู้มาจากในอดีต
นำมาวิเคราะห์หาเหตุผลเพื่อให้ได้ผลสรุปที่ดีที่สุดออกมาในอนาคต
โดยมีบรรทัดฐานจากสังคมโลกเป็นผู้กำหนดตามมาตรฐาน      จินตนาการ คือ
อิสรภาพในการสร้างวิมานในอากาศโดยปล่อยให้หัวใจเป็นผู้ชี้ทางที่ตัวเราต้อง
การจริงๆ ผลสรุปที่ดีที่สุด คือ ความสุขที่ได้ทำในตอนนี้เท่านั้น
พูดภาษาง่ายๆก็ คือ ความคิดเกิดจากพื้นฐานข้อมูลจากสังคม  จินตนาการ
เกิดจากพื้นฐานข้อมูลจากตัวเรา

 Lightworker คือ
ผู้ที่รู้และเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับสังคมโลกและบางคนอาจจะเป็นบุคลากรระดับชน
ชั้นหัวกะทิระดับประเทศ หรือ ระดับชาติ มีอาชีพที่มั่นคง รายได้มหาศาล
มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ
แต่เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องทำงานในฐานะผู้ทำงานแห่งแสงสว่าง
พวกเขาเหล่านั้น
เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มีเหตุต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีโดยเฉพาะ
สิ่งที่สำคัญต่อพวกเขามากที่สุด เพราะนั้น คือ
บทเรียนแรกที่พวกเขาต้องฝึกจิตใจในการมีชีวิตอยู่อย่างผู้ที่สูญเสียและ
เริ่มต้นเรียนรู้การทำงานตามหน้าที่ตามความรู้สึกจากหัวใจเพื่อให้ได้
ผลลัพธ์บางอย่างที่ดีที่สุดต่อจิตวิญญาณของตนเองและผู้อื่นที่อยู่รอบตัวของ
พวกเขานั้นเอง



    คุณอาจจะคิดว่าคุณ คือ จิตวิญญาณที่มีร่างกายเป็นมนุษย์
มีหนึ่งดวงจิตในหนึ่งร่างกาย เพศหญิง เพศชาย หรือไม่ก็จิตหญิงในร่างชาย
หรือ
จิตชายในร่างหญิงก็ตาม      แต่ความพอใจและอิสรภาพในการเลือกที่จะเป็นของมนุษย์ใน
ยุคที่อะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะวิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จนมนุษย์สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้เพียงกล้าที่จะคิดใหม่และเริ่มต้นเดินตาม
ความ ฝัน  คุณสามารถเรียนรู้ได้ทุกศาสตร์ ทั้งทางโลกและจิตวิญญาณ     รวมไปถึงพลังจิต และ เวทมนต์ก็ได้รับการเผยแพร่หลายแขนง อยู่ที่ความสนใจ
และความพยายามของมนุษย์แต่ละคนจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน
จริงๆแล้วพวกเราไม่ได้มีเพศทางจิตวิญญาณ  มีแต่ร่างกายในมิติที่สาม
(โลกมนุษย์) มิติแห่งกายเท่านั้นที่แบ่งลักษณะเพศออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
    รวมไปถึงลักษณะของสายพันธ์สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกใบนี้  แต่ในฐานะ
“จิตวิญญาณ”  ทุกสิ่งในจักรวาลนี้ คือ สิ่งเดียวกันและมาจากที่เดียวกัน
พวกเราทุกดวงจิตวิญญาณจะเดินทางไปในแต่ละมิติเพื่อเรียนรู้รูปการใช้แบบ
ชีวิตในลักษณะที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความพอใจของคุณเองว่าจะหยุดเมื่อไร
โดยที่คุณ คือ ผู้เลือกเส้นทางชีวิตให้กับตนเอง

   หลายครั้งในหลายภพหลายชาติ
คุณเลือกที่จะปฏิเสธการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณ
รวมไปถึงการลบความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับต้นกำเนิดแห่งจักรวาล
  โดยที่คุณจะเลือกที่จะไม่ทำ ไม่เรียนรู้ในสิ่งที่คุณเคยรู้และผ่านมาแล้ว
คุณเบื่อหน่ายในสิ่งที่ซ้ำซากจำเจ
คุณเลือกที่จะทอดทิ้งความสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้เรียนรู้ความขาดแคลน
และเมื่อคุณขาดแคลนคุณก็จะพยายามขวนขวายให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบเพราะ
คุณไม่เคยพอใจกับปัจจุบัน ณ จุดใดเลยนั้นเอง  สิ่งต่างๆเหล่านี้ คือ
ลักษณะพื้นฐานดั้งเดิมของคุณในฐานะจิตวิญญาณ
ก่อนที่จะเลือกที่จะมาเกิดในรูปแบบมนุษย์โลกในปัจจุบัน



    พวกเราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ในโลกแห่งจิตวิญญาณ อย่างไร้ขอบเขต เพราะ
จิตวิญญาณดำรงชีวิตด้วยจินตนาการและไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในจักรวาล
แต่เมื่อถึงเวลาในการเติบโตขึ้นอีกระดับ
ที่พวกเราจะต้องเรียนรู้วิถีชีวิตแบบมีขอบเขต
การลงมาเกิดบนโลกมนุษย์จึงเป็นความจำเป็นที่พวกเราไม่อาจที่จะเลี่ยงได้
ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่มีการเติบโตทางความคิดและกายภาพเพราะจิตวิญญาณใน
สากลจักรวาลก็เติบโตตลอดเวลาเช่นเดียวกัน     เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความลับเพียงแต่น้อยคนที่จะรู้
และถึงจะรู้ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าเชื่ออยู่ดี
เพราะพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ชาวมนุษย์โลกต้องการข้อพิสูจน์ที่สามารถมอง
เห็นได้ด้วยการสัมผัสในรูปแบบกายภาพเพื่อยืนยันความชัดเจนในกรรมสิทธิ์และ
ความถูกต้องตามตรรกศาสตร์เพื่อสิทธิของความเป็นเจ้าของนั้นเอง       แต่สำหรับจิตวิญญาณแล้วสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้จักตนเอง คือ
อิสรภาพโดยไร้เหตุผลรับรอง  พวกเราใช้หัวใจในการรับสัญญาณไม่ว่าจะถูก หรือ
ผิด ขอให้เชื่อสัญชาตญาณแล้วคุณจะไม่ผิดหวังกับผลลัพธ์ใดๆทั้งสิ้น


ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่คุณจำตัวตนในอดีตไม่ได้ทำให้คุณไม่สามารถรู้
เรื่องต่างๆของคุณเอง  จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆขึ้นมา
เพราะความไม่รู้จึงทำให้คุณและมนุษย์ส่วนมากไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่
รู้จักพอใจในสิ่งที่มี  ไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็น
แสวงหาในมายาและความลุ่มหลงชั่วครั้งคราว
เมื่อไม่พอจึงทำให้เกิดการแย่งชิง แบ่งแยก และไม่มีความสุขกับชีวิตที่ตนเอง
ถึงแม้จะมีหนังสือเกี่ยวกับการตื่นรู้ การหลุดพ้นจากความทุกข์
ทาง แก้ปัญหาชีวิตและค้นหาทางออกในรูปแบบต่างๆมากมายแทบจะล้นโลกแต่หนังสือ   เหล่านั้นก็ยังคงไม่สามารถตอบสนองความต้องการคำตอบของมนุษย์ได้ทุกคนอยู่ดี
เพราะ พวกคุณยังไม่ได้รับคำตอบว่า คุณ คือ ใคร? และ
คุณเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร?


 ถ้าคุณอยากที่จะรู้จริงๆและพร้อมแล้วละก็สิ่งแรกที่คุณต้องเตรียมตัวก่อน
อ่านต่อไป คือ ทำจิตให้สงบนิ่ง มองเข้าไปในกระจกที่คุณหาได้
มองเข้าไปในดวงตาของคุณ
และบอกกับตัวเองว่าคุณพร้อมแล้วที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับจิตวิญญาณของตัว
เองและไม่ว่าคุณคือใครก็ตาม
คุณยินดีที่จะทำความรู้จักในทุกแง่มุมต่างๆไม่ว่าจะดีหรือเลวร้ายแค่ไหน
คุณจะไม่หันหลังและทอดทิ้งตัวตนของคุณเอง

   การที่คุณเปิดใจยอมรับตัวเองได้มากเท่าไร คุณ คือ
ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์ทางจิตวิญญาณมากที่สุด
เพราะฉะนั้นถ้าคุณพร้อมแล้วละก็ขอให้คุณใช้จินตนาการที่คุณมีทั้งหมดเดินทาง
ไปด้วยกัน เพราะ ประตูทางเข้าเดียวที่คุณจะรู้จัก จิตวิญญาณของคุณ คือ
ความเพ้อฝันและจินตนาการอย่างไร้ขอบเขตเท่านั้นที่จะทำให้
ตัวตนที่แท้จริงของคุณออกมาหาคุณในที่สุด

...........การสูญเสียเพื่อการเริ่มต้นงานที่ยิ่งใหญ่........



   การสูญเสียเพื่อการเริ่มต้นงานที่ยิ่งใหญ่ Lightworker คือ
ผู้ที่ทำหน้าที่สอนคุณให้เข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคน
ในสภาวะของการมีร่างกายในรูปแบบมนุษย์     พวกเขาจะช่วยแนะแนวทางออกสำหรับชีวิตของคุณ
ให้คำแนะนำคำสอนให้รู้จักกับจิตวิญญาณที่แอบซ่อนอยู่ภายใน
     ถึงแม้คุณจะคิดว่าตนเองนั้นรู้ทุกอย่างแต่ก็คงไม่เถียงว่าบางครั้งความคิดใน
สมองและจิตใจยังมีความลับบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถแก้สมการที่ค้างคาใจให้
กับคุณได้     ซึ่งบางปัญหาก็ทำให้หลงทางอยู่เป็นประจำจนเป็นสาเหตุแห่งความสับสนต่างๆทั้ง
ทางกายและจิตในปัจจุบัน
หากคุณรู้สึกอย่างนั้นและไม่รู้ว่าอนาคตของคุณจะลงเอยอย่างไร แสดงว่า
ยังไม่ใช่เวลาที่คุณจะต้องรู้
และก็ไม่จำเป็นต้องขวนขวายในการค้นหาอะไรทั้งสิ้นเพราะเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
คุณจะรู้ทุกอย่างทีละขั้นตอน    สิ่งที่ผู้ทำงานแห่งแสงสว่างเกือบทุกคนบนโลกใบนี้ควรทราบและจำเป็นต้องเตรี
ยมตัวเตรียมใจเอาไว้ คือ
ก่อนที่จะเข้ารับงานตามหน้าที่เมื่อครบกำหนดเวลาที่จะต้องกลับไปเรียนรู้ใน
จุดเริ่มต้นของตัวตนที่แท้จริงและเริ่มต้นเข้าไปรู้จักกับสายงานของชาวแสง
สว่าง


  บทเรียนสุดท้ายในสถานะคุณคนเดิมในโลกใบเก่า คือ การทำลายตัวตนเดิม
ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในสิ่งต่างๆที่คุณถือกรรมสิทธิ์และมี
อยู่ในครอบครอง
  สิ่งที่คุณเกาะกุมยึดเหนี่ยวและทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สูญเสียไปจะถูกทำลาย
เพียงชั่วพริบตา   ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองของมีค่าทางวัตถุ
สิ่งที่มีค่าทางจิตใจ และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ
สุขภาพร่างกายจากที่เคยสมบูรณ์กลับอ่อนแอล้มป่วยอย่างไม่น่าเชื่อ
การสูญเสียที่เกิดขึ้นจะอยู่ในระดับที่ทำให้คุณไม่อยากเป็นตัวคุณอีกต่อไป
ทำให้คุณรู้สึกไม่มีค่าควรที่อยู่ในจุดที่คุณเป็น
ถึงขั้นต้องการฆ่าตัวตายเพื่อหายไปจากโลกใบนี้เลยก็ว่าได้  หรือคำอธิบายง่ายๆ คือ หัวใจสลาย
จุดประสงค์ในการสูญเสียครั้งสำคัญในชีวิตของคุณครั้งนี้
ได้ถูกสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อลบล้างคุณคนเก่า
ทั้งความคิดความเชื่อมั่นและสังคมที่คุณเคยอยู่
ด้วยการบีบบังคับทุกทางทำให้คุณต้องออกไปจากวิถีชีวิตเกือบทั้งหมด
เพื่อปูทางให้จิตวิญญาณใหม่ หรือ
ตัวตนที่แท้จริงของคุณเข้ามาแทนที่ในไม่ช้า นิยามของคำว่า “ความสมบูรณ์”
สำหรับคุณแล้วก็คงไม่ปฏิเสธว่าคุณยังรู้สึกขาดไม่มากก็น้อยในหลายๆสิ่งที่
คุณปรารถนาและมันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่มนุษย์ส่วนมากคิด
พวกเขาทั้งหลายจึงพยายามครอบครองสาธารณะวัตถุและเอาชนะจิตใจผู้คนให้ได้มาก
ที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้
เพราะปมด้อยในจิตใจลึกๆที่ยังไม่ถูกเติมเต็มในสิ่งที่พวกเขาพยายามตามหามา
ทั้งชีวิต
บางคนอาจจะคิดว่าคนนั้นคนนี้ได้ครอบครองสิ่งที่ดีที่สุดแต่สุดท้ายมันก็ยัง
ไม่ใช่อยู่ดี เพราะสิ่งที่ดีที่สุด คือ
“สิ่งที่พวกเขามีอยู่แล้วเพียงแต่หาไม่เจอ”
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถซื้อหาเก็บไว้เป็นกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวไม่

ผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะได้พบกับปรากฏการณ์มหัศจรรย์ราวกับปาฏิหาริย์ใน
นิยายตามกำหนดเวลาที่ได้ถูกวางไว้แล้วนั้นเอง
ถึงแม้ว่าปัญหาต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ตัวคุณยังมองไม่เห็นทางออก

แต่
จริงๆแล้วมันเป็นแค่ จุดเริ่มต้นของการทำงานที่ยิ่งใหญ่
การที่คุณต้องเข้ามาอยู่ในประสบการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตครั้งนี้เพราะ
จิตวิญญาณภายในของคุณเป็นผู้สั่งการ
เพราะตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ข้อมูลต่างๆที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับตลอดชีวิตของ
คุณจะถูกเปิดเผยออกมา โดยมีพวกเรากลับมาทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ตามกำหนดการ
เพราะฉะนั้นขอให้คุณวางใจในปัญหาทั้งหมดและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่
ควรจะเป็นโดยไร้ความกังวลใจ
เพราะอีกไม่นานคุณจะเข้าใจทุกอย่างและมีชีวิตใหม่ที่น่าพึงพอใจมากกว่าเดิม
การได้พบกับสิ่งที่คุณรอคอยและคำตอบที่ค้นหามาทั้งชีวิต
จงมองดูการแตกสลายที่กำลังเกิดขึ้นในครั้งนี้เหมือนกับตัวจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ
หยุดความสงสัยไว้ชั่วขณะ
ไม่ว่าจิ๊กซอว์ชิ้นต่างๆจะกระจัดกระจายอยู่ที่ไหนขอให้อดทนรอการผจญภัยข้างหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น
บรรจงต่อภาพนี้ทีละชิ้นไปเรื่อยๆด้วยความพยายามแล้วคุณจะรู้เองว่าภาพที่คุณ
ต่อเสร็จจะออกมาเป็นรูปอะไร เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องทำทุกอย่างตามกำหนด
ตื่นตามกำหนด โง่ตามกำหนด เรียนรู้ตามกำหนด พัฒนาตามกำหนด ทำงานตามกำหนด
เเละ ตกผลึกตามกำหนด
คน
ทั่วไปจะเข้าใจว่ามนุษย์หนึ่งคนมีร่างกายหนึ่งร่างกายรวมกับจิตวิญญาณหนึ่ง
ดวง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆจะทำให้บนโลกมนุษย์มีจิตวิญญาณมากกว่าเจ็ดพันล้าน
ดวงแต่ความเป็นจริงแล้วจิตวิญญาณไม่มีเครื่องวัดและแบ่งแยกจำนวนและลำดับ
ชั้นของจิตแต่ละดวง เมื่อมนุษย์หรือสัตว์หมดสิ้นอายุขัย
ดวงจิตจะกลับคืนสู่มิติแห่งจิตวิญญาณกลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง
ในจักรวาลอีกครั้ง หน้าที่ของจิตวิญญาณ มีภาระหน้าที่มากกว่าการลอยไปลอยมา
ชีวิตหลังความตายสำหรับมนุษย์บางคนจะยังคงเกิดการเปลี่ยนภพชาติและใช้กรรม
ตามศาสนาของตนเองเมื่อเราไม่สามารถค้นพบจิตเดิมของเรา
ถ้ามนุษย์สามารถพบกับจิตเดิมได้เมื่อไรพวกเขาก็สามารถที่จะหลุดพ้นวัฏสงสาร
ด้วยกุญแจดอกสำคัญที่จิตเดิมเป็นผู้ครอบครองไว้อยู่
จิตเดิมอยู่ในทุกสรรพสิ่งรอบๆตัวเราและภายในตัวเรา
พวกเขารู้ทุกอย่างเหมือนกันและไม่ต่างกัน




 เหมือนกับหยดน้ำจากมหาสมุทรไม่ว่าแม่น้ำสายนั้นจะอยู่ที่ไหนพวกเขาจะอยู่
ด้วยกันเสมอ
เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ต่างจากจิตวิญญาณเดิมที่อาศัยอยู่ในจักรวาล
ดังนั้นทุกความคิดของมนุษย์ หรือ
สิ่งต่างๆบนโลกใบนี้สามารถสื่อถึงกันได้เพราะเหตุนี้นั่นเอง
ผู้ที่ส่งคลื่นความคิดใดออกไปมักจะพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะ
เป็นไปได้ด้วยความบังเอิญอยู่เสมอ เพราะความคิด คือ
ต้นกำเนิดจิตวิญญาณในหลายรูปแบบ ทั้งดีและชั่ว
ความคิดสามารถที่จะสร้างได้หมดโดยมีอารมณ์เป็นชนวนและจินตนาการเป็นไม้ขีด
ไฟ

   เมื่อใดก็ตามที่คิด จิตวิญญาณเทียมจะเกิดขึ้นทันที ยกตัวอย่างง่ายๆ
อย่างเช่น วิวัฒนาการและการศึกษาของมนุษย์บนโลกได้ถูกสอนให้รู้จักกับคำว่า
แตกต่าง พิเศษ แปลกแยก ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน เนื่องจาก ความรู้
ประสบการณ์และหลักความเชื่อที่ถูกปลูกฝังทางจิตวิญญาณตั้งแต่เด็กจนถึง
ปัจจุบัน
ความคิดของมนุษย์เจ็ดพันล้านคนจึงเข้าไปคุกคามแทนที่จิตบริสุทธิ์แท้ดังเดิม
ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาลโดยไม่รู้ตัว
ทำให้จิตวิญญาณเดิมที่รู้ทุกอย่างในจักรวาล
วิญญาณต้นธาตุที่แท้จริงต้องกลายเป็นใบ้ เพราะถูกจิตวิญญาณเทียมเทคโอเว่อร์
จิตวิญญาณเทียม คือ ความคิดที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อตามกระแสโลก
ค่านิยมที่ถูกโปรแกรมด้วยการโฆษณาตามสื่อสิ่งพิมพ์และโลกไซเบอร์
ความสวยงามที่ถูกกำหนดตายตัวมาตรฐานจากคนบางกลุ่ม ความรู้ที่ดีที่สุด คือ
การทำคะแนนในห้องสอบได้สูงที่สุด เชื่อฟังและทำตามคนที่เก่งที่สุด
ปริญญาและเงินเป็น สิ่งที่ยกระดับและคุณค่าความเป็นคน
จิตวิญญาณเทียมจะมีความโดดเด่นมากแต่และตราบใดที่คุณยังคงชื่นชม
ชื่นชอบและมีความสุขกับตัวเอง ณ ปัจจุบัน ของจิตวิญญาณเทียม
จิตเดิมของคุณก็จะไม่แสดงตัวออกมาจนวันที่คุณต้องการความช่วยเหลืออย่างแสน
สาหัส เมื่อเข้าใจเหตุผลของการสูญเสียและปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเพราะถึงเวลาทำลายจิตวิญญาณเทียม


 การเคลียร์พื้นที่ให้จิตวิญญาณใหม่ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่ในอนาคตเป็นสิ่ง
ที่คุณจะได้เรียนรู้ต่อไป เรียกว่า ทฤษฎีค้นหาจิตเดิมด้วยวิธี

                    “พูดให้จิตคิด   บอกจิตให้ฟัง”

            





วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

ดับโกรธ ในแบบบธรรมชาติด้วย มหาสติ


ท่านรู้หรือไม่ว่า.....
ถ้าคนใกล้ชิดตัวท่านกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
ปกติแล้วท่านมักจะเสียสมดุลไปในทาง
หงุดหงิด ขึ้ง เคียด เกลียด โกรธ นั่นล่ะ

ทำอย่างไรท่านจึงจะไม่โกรธ
ทำอย่างไรท่านจึงจะดับโกรธที่เกิดขึ้นนั้นได้
ทำอย่างไรท่านจึงจะคืนความสมดุล
ทางจิตใจให้ตนเองได้ภายในสามนาที

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำตอบแรกก็คือ....
มหาสติไงล่ะ

ท่านฝึกฝนตนเองจนสามารถครองมหาสติได้รึยัง
ถ้าท่านยังครองมหาสติไม่ได้
สามคำถามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
ท่านจะมิอาจเข้าถึงคำตอบที่ต้องการได้หรอก

แต่ถ้าท่านสามารถเข้าถึงการครองมหาสติ
อันเป็นธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวันได้แล้ว
กล่าวคือ รู้สติ มีสติ และใช้สติตลอดทั้งวันเวลา
คำตอบที่สองถัดมา คือ
การหยิบปัญญามานิพพานอารมณ์โกรธนั้นให้สิ้น
จึงจะเป็นจริงได้

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ขณะมีมหาสติอยู่นั้น.....
ขอให้ท่านจงระลึกถึงความจริงในธรรมชาติดูว่า

1.เวลากลางวันขณะแดดร้อนเปรี้ยงๆอยู่
หากท่านกำลังออกจากบ้านเดินทางไปทำธุระ
ในท่ามกลางเปลวแดดแผดจ้าอยู่นั้น
ท่านเคยจัดการอย่างไรในสถานการณ์เช่นว่านี้บ้าง

คำตอบคือ....
1.1 อดทนต่อความร้อนของเปลวแดดนั้น ใช่มั้ย?
1.2 หาร่มมากางบังแดดให้ตนเอง ใช่มั้ย?
1.3 เดินเลี่ยงหลบเข้ากำบังเงาในร่มเงา ร่มไม้ ชายคา
ที่มีอยู่ตามทางเดินนั้น ใช่มั้ย?

2.ให้ท่านถามตนเองต่อไปด้วยว่า...
ทำไมท่านจึงไม่สั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดแผ่ความร้อน
ทำไมท่านจึงไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่หาเรื่องชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์

คำตอบก็คือ....

ท่านไม่สั่งดวงอาทิตย์ให้หยุดแผ่รังสีความร้อน
เพราะรู้ดีว่าตัวท่านเองไม่มีอำนาจมากพอ
เพราะท่านรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้

ท่านไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
เพราะรู้ดีว่ามันเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์
ที่ต้องร้อนแรงอย่างนั้นเอง...

เพราะท่านรู้ดีว่าไม่มีใครห้ามดวงอาทิตย์
มิให้เปล่งความร้อนแรงได้
มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นเอง

ท่านไม่ชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าแช่งด่าว่าไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ดวงอาทิตย์ก็จะเงียบแล้วแผ่ความร้อนออกมาดังเดิม
เพราะเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์ดังกล่าวแล้ว

ท่านไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าดวงอาทิตย์มีประโยชน์ต่อทุกชีวิต
ทั้งความร้อนแรงก็มีประโยชน
ทั้งแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มีประโยชน์
ด้านที่เป็นประโยชน์มีมากกว่าด้านที่เป็นโทษ
ด้านที่ท่านชอบมีมากกว่าด้านที่ท่านไม่ชอบ

3.ดังนั้น....
จากแนวคิดทั้งหมดทั้งสามข้อที่กล่าวมา
มันคงจะทำให้ได้เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า
คนที่เขาทำไม่ดีต่อท่าน
คนที่ท่านไม่พอใจ
คนที่ท่านเห็นว่าไม่น่ารักนั้น

พวกเขาก็มิต่างกันกับ
ความร้อนแรงของแสงแดดเลย

คนที่เขาไม่ดี
เขาจะแสดงพฤติกรรมดีๆกับท่า
ในกรณีนั้นๆได้อย่างไร
เพราะมันเป็นคุณสมบัติของเข

ถ้าท่านยอมรับความไม่ดีของเขาเสียได้
การชวนคนไม่ดีนั้นทะเลาะมันก็จะไม่เกิดขึ้น
เพราะถึงทะเลาะกันด่าว่ากันสาปแช่งกัน
ท่านก็ไม่มีวันเปลี่ยนนิสัยแก้ไขสันดานไม่ดี
ของคนชั่วคนนั้นได้...ใช่หรือไม่ล่ะ?

ความชั่วของคนๆนั้น
มันยังมีประโยชน์ต่อท่านอีกด้วยนะ
เพราะทำให้ท่านได้เรียนรู้ว่า
ความชั่วในแนวๆนั้นมันเป็นอย่างไร

มิหนำซ้ำท่านยังตรวจสอบตัวเองได้ด้วยว่า
ท่านชั่วเหมือนคนๆนั้นด้วยมั้ย?
ท่านมีนิสัยสันดานเหมือนเขาคนนั้นบ้างหรือเปล่า

นี่แสดงว่า...ความชั่วของเข
มันช่วยให้ท่านสามารถประเมินตนเองได้
ถ้าพบว่าตัวเองชั่วแบบเขา
ท่านก็จะได้แก้ไขตนเองเสียทันที
จะได้เป็นคนที่ดีกว่า...ตามต้องการ

แสดงว่าความชั่วของเขาก็มีประโยชน์ต่อท่าน
มากกว่าจะมีโทษ
เช่นเดียวกับความร้อนของแดด
มีคุณมากกว่าโทษนั่นล่ะนะ

ใช่หรือไม่ล่ะท่านทั้งหลาย...

วิธีดับโกรธ...ลดอารมณ์ขยะ
สร้างสภาวะจิตให้สมดุลภายในสามนาที
มันต้องมีมหาสตินำหน้า
แล้วใช้ปัญญาตามหลัง
ทำบ่อยๆนานวันเข้า.....
จิตฝ่ายต่ำมันจะสลายตัวหายไปเอง
นิพพานโกรธได้ล่ะท่าน...

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2015



วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไม มนุษย์ จึงไม่เรียนรู้ ที่จะรักกัน




Visudhi Panya


มีผู้ถามเราว่า.....
ทำไมมนุษย์โลกจึงไม่รักกัน
เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
สาเหตุมีดังนี้.......

1.เพราะทุกคนจดจำไม่ได้ว่า "หน้าที่" ของพวกท่าน
คือ มาเกิดเพื่อรักกันแล้วแบ่งปันพลังงานความรัก
จากจิตสำนึกในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กให้โลก
เพื่อช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุล เพราะถูกอำนาจแม่เหล็กโลก
ปิดบังมิติไว้มิให้ล่วงรู้นั่นเอง

2.เพราะทุกคนไม่รู้ว่าการปฏิบัติดีปฏิบัติชั่วต่อกัน
ในชีวิตประจำวัน มันคือการหยิบยื่นบททดสอบจิตสำนึก
ให้แก่กันและกัน ตามแผนการที่จิตวิญญาณของพวกท่าน
ต่างตกลงใจเขียนบทละครนั้นๆกันมาเองว่า จะใช้บทละคร
ดีๆร้ายๆ เป็นเงื่อนไขเพื่อให้อีกฝ่ายสั่นสะเทือนจิตสำนึก
ด้านบวกเป็นความรักให้ได้

3.เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าบทบาทของผู้ดีผู้ร้าย
ที่แสดงต่อกันอยู่ทุกวันๆนั้นมันคือ "บทละคร" มิใช่เรื่องจริง
ทุกคนพากันเข้าใจผิดต่างคิดว่าเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
เพราะต่างคนต่างเล่นกันสมจริงสมบทบาทเป็นอย่างยิ่ง
การต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านกันจึงเกิดขึ้นจริงๆ

4.เพราะมนุษย์มีจริตผิดๆคือ
ถือตัวตนของตนสำคัญเหนือใคร
ยึดถือตนเองเป็นใหญ่ โดยติดนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
ทั้งๆที่นิสัยเด็กในการคิดถึงตนเองก่อนผู้อื่นนั้น
มันเป็นแค่เพียงสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด

พอเติบใหญ่ก็หยิบฉวยเอาสัญชาตญาณวัยเด็กมาใช้
ทั้งๆที่เลยวัยนั้นไปแล้ว
ควรจะใช้สติปัญญญาของสมองแทนได้แล้ว
แต่มนุษย์ก็ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ

เนื่องจากการยึดถือตนเองเป็นสำคัญนี่แหละ
มนุษย์จึงเอาแต่ใจตนเอง
ใช้อารมณ์ของตนเอง
ยึดแนวคิดของตนเอง
ยึดสันดานของตนเอง
แล้วเที่ยวใช้มันชี้วัดตัดสินคนอื่น
และใช้มันขับเคลื่อนพฤติกรรมของตนในชีวิตประจำวัน
เสียจนเคยตัว....

5.เรียนธรรมะแต่ไม่เข้าถึงธรรมะ
เพราะยังใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวาไม่ได้
เนื่องจากขาดการฝึกฝนตนเอง
เก่งแต่หาข้อธรรมะมาท่องจำหรือมาทำตาม
แต่ก็ทำด้วยความไม่เข้าใจแท้จริง

วันๆจึงมีแต่คิดที่จะเอา มากกว่าคิดที่จะให้
นานวันเข้าก็เลยกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไป

6.เพราะสังคมมนุษย์ปัจจุบัน
ไม่เกื้อกูลต่อการแสดงความรักต่อกันเอาเสียเลย
เพราะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ การแข่งขัน
การชิงดีชิงเด่นกันอย่างรุนแรง
ขนาดพี่น้องกันเองก็ยังขาดความปรองดอง
ทุกคนจึงพากันบ้าอำนาจ
แข่งกันใช้อำนาจ
จึงไม่มีเวลาว่างที่จะใส่ใจในรัก

7.เพราะปัจจุบัน
โลกนี้เป็นโลกแห่งทุนนิยม วัตถุนิยม เทวนิยม
ทำให้จิตสำนึกของคนส่วนใหญ่ตกต่ำ
การสั่นสะเทือนเป็นความรักและการใช้ปัญญา
จึงด้อยสมรรถภาพ เพราะใช้น้อยหรือใช้ด้านลบมากกว่า

ดังนั้น....
ทั้งหมดนี้ คือ ปัญหาที่ทำให้มนุษย์โลก
ไม่รู้จักว่าความรักที่แท้จริงนั้นมันคืออะไรกันแล้ว
บททดสอบแห่งความกลัวตาย
จากมหันตภัยในอีกไม่ช้า จึงจำเป็นต้องถูกส่งมา
ให้พวกท่านทั้งโลกได้เผชิญ!

เรากล่าวความจริงทั้งเจ็ดเพื่อตอบคำถามเพื่อนเธอ
ที่ถามว่า "ทำไมมนุษย์โลกจึงไม่รักกัน"

เอเมน.....สาธุ........

ป.วิสุทธิปัญญา
13-02-2015